Last updated: 21 ก.พ. 2563 |
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 - 13:26 น.
แพทยศาสตร์ หรือมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Medicine เป็นสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ การรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสาขาวิชาที่เรียนยาก และจะต้องมีความขยัน อดทน ในการเรียนสูงเลยทีเดียว เพราะแพทย์ที่จบออกมาจะต้องใช้ความรู้และทักษะความสามารถในการดูแลผู้ป่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่าง ๆ
ซึ่งการเรียนด้านการแพทย์สามารถแบ่งออกเป็นสาขาวิชาหรือด้านฉพาะทางได้มากมาย เช่น กุมารเวชศาสตร์, อายุรศาสตร์, ศัลยศาสตร์, ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยศาสตร์กระดูก), สูติศาสตร์, นรีเวชวิทยา, โสตศอนาสิกวิทยา, นิติเวชศาสตร์, จักษุวิทยา, จิตเวชศาสตร์,รังสีวิทยา,ตจวิทยา, พยาธิวิทยา, เวชศาสตร์ชุมชน, อาชีวเวชศาสตร์, เวชศาสตร์ฟื้นฟู, เวชระเบียน, เวชสถิติ ฯลฯ และในแต่ละสาขายังแบ่งย่อยเป็นสาขาย่อยลงไปอีกตามอวัยวะหรือกลุ่มของโรค เช่น ศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก, อายุรศาสตร์โรคไต เป็นต้น
อยากเรียนแพทย์ ต้องสอบอะไรบ้าง?
รับตรงผ่าน กสพท เป็นสนามสอบเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ (และยังรวมถึงทันตแพทย์ สัตวแพทย์ และเภสัชศาสตร์ อีกด้วย) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสนามการสอบแพทย์ที่ใหญ่มาก ๆ โดยเปิดกว้างรับผู้สมัครสอบทั่วทุกจังหวัด ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนเลยว่าใครสามารถสอบ กสพท ได้บ้าง?
1. คณะแพทยศาสตร์ รับทั้งเด็กที่จบสายวิทย์-คณิตฯ และสายศิลป์ ส่วนเด็กซิ่วที่ยังเรียนอยู่ในปี 1 สมัครได้ไม่ต้องลาออก และต้องไม่ศึกษาอยู่ในคณะที่ต้องการสมัครใหม่ด้วย
2. GPAX เกรดเฉลี่ยสะสมระดับ ม.ปลาย
3. ต้องมีคะแนนสอบ 9 วิชาสามัญ ต้องมีวิชาที่ใช้ในการพิจารณาดังนี้
4. คะแนนสอบวิชาความถนัดแพทย์ : 30 %
5. ผลคะแนนสอบ O-NET ( วิทย์ คณิต อังกฤษ ไทย สังคม) รวมกันต้องได้ 60 % หรือ 300 คะแนน (ทั้งนี้คะแนน O-NET จะขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยว่ามีการกำหนดเกณฑ์เอาไว้อย่างไร ซึ่งน้อง ๆ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยหรือสถาบันได้เลยค่ะ)
** ทั้งนี้เกณฑ์ที่ใช้คัดเลือกในแต่ละปี อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ น้อง ๆ จะต้องคอยติดตามรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัย หรือที่เว็บไซต์ของ กสพท
การสมัครสอบในรูปแบบอื่น ๆ
นอกจากจะมีการรับสมัครผ่านทาง กสพท แล้ว การสมัครเรียนแพทย์ยังสามารถสมัครเข้าโครงการต่าง ๆ กับทางมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนได้ด้วย ทั้งระบบโควตา มหาวิทยาลัยจะทำการจัดสอบเอง เช่น MD02 ของ ม.ขอนแก่น เป็นต้น : Link คลิกที่นี่, ระบบ Cpird Odod (แพทย์ชนบท) ระบบรับตรง ที่มหาวิทยาลัยเป็นคนจัดสอบเอง เป็นต้น
นักศึกษาแพทย์เขาเรียนอะไรกันบ้างใน 6 ปี?
ปี 1 : เรียนปรับพื้นฐานกันก่อนเลย
สำหรับในปี 1 จะเป็นปีเดียวที่น้อง ๆ จะได้เรียนเหมือนเด็กคณะอื่น ๆ คือ เรียนตามตารางเรียนประมาณ 8.00 น.-16.00 น. (บางวันอาจจะเรียนเต็มวัน ส่วนในบางวันอาจจะเรียนแค่ครึ่งวัน) ทำให้น้อง ๆ ยังพอมีเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ ส่วนวิชาที่จะเรียนในปี 1 นี้ ก็จะเป็นวิชาเรียนคล้าย ๆ กับตอน ม.ปลาย เลย คือจะเน้นวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้ในการแพทย์) เป็นหลัก แต่ว่าจะเรียนลงลึกมากยิ่งขึ้นและยากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้การเรียนในปี 1 นั้น ดูเบาไปเลย แถมยังมีเวลาว่างให้น้อง ๆ ได้ทำสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
ปี 2 : ก้าวแรกสู่การเรียนแพทย์
พอขึ้นปี 2 น้อง ๆ ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทางการแพทย์เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าปี 1 เยอะเลยทีเดียว โดยเนื้อหาในปีนี้น้อง ๆ จะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและระบบการทำงานของร่างกายอย่างละเอียด เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ฯลฯ (ซึ่งเรียกได้ว่าน้อง ๆ จะต้องรู้ลึกไปถึงกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีหลอดเลือดชนิดไหนบ้างที่ไปหล่อเลี้ยงให้สามารถทำงานได้ตามปกติ) นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ อีก เช่น วิชาทางกายวิภาค สรีรวิทยา พันธุศาสตร์ เป็นต้น พร้อมทั้งน้อง ๆ ยังจะได้พบกับอาจารย์ใหญ่และกล่าวคำปฏิญาณ อีกด้วย
ปี 3 : ร่างกายของเราป่วยได้อย่างไร
ตอนเรียนปี 2 น้อง ๆ จะเน้นการเรียนเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย พอขึ้นมาปี 3 น้อง ๆ ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเจ็บป่วยหรือทำให้ร่างกายผิดปกติ ทั้งการเรียนรู้จักกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ สาเหตุของการเกิดโรค เช่น หลักภูมิคุ้มกันวิทยา, ปรสิตวิทยา, พยาธิทั่วไป, เวชศาสตร์ชุมชนฯ เป็นต้น และนอกจากนี้ยังเรียนเกี่ยวกับยาชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรค (ระดับพื้นฐาน) อีกด้วย
และที่สำคัญในชั้นปีนี้ น้อง ๆ ยังจะต้องเจอเรื่องยากอีกหนึ่งเรื่องก็คือ การสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 1 ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 3 เป็นการสอบความรู้ที่เราได้เรียนมาตลอดทั้ง 3 ปี โดยข้อสอบจะเป็นแบบตัวเลือกทั้งหมด แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้า 150 คะแนน และรอบบ่าย 150 คะแนน รวมเป็น 300 คะแนน ถ้าสอบไม่ผ่านในรอบแรกน้อง ๆ สามารถสอบซ่อมได้อีกหนึ่งรอบ (บอกได้คำเดียวเลยว่าเนื้อหาเยอะมาก น้อง ๆ จะต้องจำและทำความเข้าใจให้ดีเลย)
ปี 4 : เริ่มใกล้คำว่าแพทย์มากขึ้น.. ได้ดูแลคนไข้แล้ว
บอกลาการปิดเทอมไปได้เลย เพราะการเรียนในปีนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่น้อง ๆ จะเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้จากผู้ป่วยโดยตรงเลย โดยจะเป็นการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปดูแลผู้ป่วยตามวอร์ดตลอดทั้งปี ในแต่ละวอร์ดจะมีเนื้อการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง, วอร์ดเด็กก็จะเน้นไปที่โรคที่เกิดขึ้นกับเด็ก เป็นต้น
ในตอนวนวอร์ดน้อง ๆ จะได้รับคนไข้ ซึ่งน้อง ๆ จะต้องทำการสอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค และให้คำแนะนำหรือแนวทางการรักษาโรคในเบื้องต้น โดยจะมีอาจารย์ผู้คุมวอร์ดเป็นคนดูแลและให้ความรู้กับเราอีกที ในการให้คำปรึกษาและแนวทางการรักษาโรคในขั้นลึกลงไป
นอกจากจะมีการเปลี่ยนวอร์ดตลอดทั้งปีแล้ว น้อง ๆ ยังต้องเข้าเวรอีกด้วย ซึ่งน้อง ๆ จะได้รับมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ วันเสาร์-อาทิตย์ หรือในเทศกาลหยุดยาว ทำให้เวลาว่างที่น้อง ๆ เคยมีก็จะหายไป มีเวลาส่วนตัวน้อยลง ดังนั้นน้อง ๆ ควรที่จะต้องหาวิธีในการปรับตัวให้ดีเลย ไม่งั้นอาจจะเราเรียนไม่ไหวได้นะ
ปี 5 : เรียนหนักขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นแพทย์ที่เก่ง
สำหรับรูปแบบการเรียนในชั้นปีที่ 5 จะเหมือนกับปี 4 คือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตรงที่วอร์ดที่น้อง ๆ วนกันนั้น จะเป็นวอร์ดที่ยังไม่เคยเจอในตอนปี 4 เช่น แผนกจิตเวช, แผนกนิตเวช เป็นต้น (การวอร์ดในแต่ละสถาบันการศึกษาอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามที่สถาบันได้จัดเอาไว้)
แต่ก็แอบโหดอยู่เหมือนกันจากตอนปี 4 น้อง ๆ อาจจะมาถึงวอร์ดได้ตอน 7 โมง แต่พอขึ้นปี 5 มา น้อง ๆ อาจจะต้องมาถึงวอร์ดประมาณตี 4 และอยู่จนถึงรุ่งเช้าของอีกวันก็มีนะ และก็ยังต้องมีการเข้าเวรเหมือนปี 4 นอกจากนี้น้อง ๆ ก็ยังจะได้สอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค ให้การรักษาผู้ป่วย ร่วมกับอาจารย์ผู้ควบคุมมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเย็บแผล ทำคลอดอีกด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญในชั้นปีนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะน้อง ๆ จะต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 2 ด้วย ซึ่งจะทำการสอบตอนเรียนจบชั้นปี 5 เป็นการสอบความรู้ในชั้นปีที่ 4 และ 5 ที่ได้เรียนมา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย รวม 300 คะแนน (ข้อสอบเป็นตัวเลือกแบบขั้นที่ 1)
ปี 6 : เริ่มทำงานจริงแล้ว
ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนแพทย์ น้อง ๆ จะได้ทำงานจริงเหมือนแพทย์ตามโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ ทำการรักษาโรค เย็บแผลเอง ทำคลอดเอง ทำการผ่าตัดเล็กเอง (โดยจะมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแลอีกทีอย่างห่าง ๆ) เรียกได้ว่าเป็นปีสุดท้ายที่โหดมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราขึ้นวอร์ดไปแล้วเราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนแพทย์ที่จบไปแล้ว ใช้ความรู้ที่ได้เรียนทั้งหมด และในปีนี้เราสามารถออกไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ด้วย
ที่สำคัญเรายังจะต้องสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 3 (ขั้นสุดท้าย) ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 6 ส่วนของข้อสอบนั้นจะไม่ได้เป็นแบบตัวเลือกเหมือนกับ 2 รอบที่ผ่านมา แต่จะเป็นการสอบแบบออสกี้ (OSCE) ซึ่งเป็นการสอบปฏิบัติแบบมีเสียงกริ๊งกำหนดเวลา มีทั้งหมด 30 ฐาน (มีฐานให้เราได้พักเหมือนกันนะ)
รายชื่อคณะ/วิทยาลัยแพทยศาสตร์ในไทย
ที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.tiwtactic.com
Source:
Campus Star
เรียนแพทย์ 6 ปี ต้องเจออะไรบ้าง? ใช้คะแนนอะไรในการสอบเข้า? | มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน