พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

Last updated: 19 มิ.ย. 2563  | 

วันที่ 19 มิถุนายน 2563 - 15:39 น.


ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ไม่เพียงร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด ในทางจิตใจและสมองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นที่มาของความปัญหาว้าวุ่นใจต่างๆที่พ่อแม่หลายคนต้องพบเจอ

วัยรุ่นคือวัยที่พลังกายและพลังฝันว้าวุ่นพลุ่งพล่าน ฝักใฝ่ยึดมั่นกับอุดมคติแบบสุดตัว ตั้งมั่นในสิทธิของตัวเองและรักความยุติธรรมมากเสียจนบางครั้งบางทีผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องน่าเอือมระอา พ่อแม่ก็เลยมีปากเสียงถกเถียงกับลูกๆตามมา แต่หากเปิดใจเรียนรู้และลองทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาแล้ว จะพบว่านี่เป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่พ่อแม่จะสามารถมองเห็นและพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองที่ดีให้กับเขาได้

ทำความเข้าใจวัยรุ่น

ถ้าถามว่าวัยรุ่นเริ่มต้นที่ตรงไหน คำตอบคือแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนโตไวแต่บางคนอาจช้ากว่าคนอื่น เราจะเห็นเด็กบางคนโตเร็วพรวดพราดจนจำไม่ได้หรือบางคนค่อยๆโตไปทีละเล็กละน้อย จึงกล่าวได้ว่าขวบปีที่เด็กจะก้าวสู่วัยรุ่นนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่กว้างพอสมควร

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ต้องเข้าใจจุดที่ต่างกันของวัยแรกรุ่น (Puberty) กับวัยรุ่น (Adolescent) กันก่อน ส่วนใหญ่แล้วเมื่อพูดถึงวัยแรกรุ่นก็จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเป็นหลักเช่น มีหน้าอก ประจำเดือน ขนขึ้นตามใบหน้าและอวัยวะเพศ มักพบได้ระหว่างอายุ  8-14 ปี โดยประมาณ แต่นอกจากความเปลี่ยนแปลงทางกายที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็ก สำหรับวัยรุ่น เราจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายในมากกว่า

ในวัยรุ่น พ่อแม่จะเริ่มเห็นลูกๆ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังและคิดเองทำเองมากขึ้น  ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากว่าเพื่อนจะคิดกับตนอย่างไร และพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม แน่นอนว่าเพื่อนสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งกว่าทุกเรื่อง และถ้าให้เลือก เขาจะเอนเอียงไปทางเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ 

วัยรุ่นทั้งชายหญิงจะใช้ช่วงเวลานี้ “แปลงโฉม” ตัวเองเป็นลุคหรือสไตล์ต่างๆ ในขณะเดียวกันก็อยากเข้ากลุ่มและทำอะไรเหมือนกับเพื่อน จุดนี้เองที่ถ้าผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนเมื่อไหร่ เขาก็จะรู้สึกเป็นทุกข์และอาจมีปากเสียงกับพ่อแม่ด้วยเรื่องเหล่านี้ได้ 

อาการดื้อ หัวแข็ง 

ลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่งที่พบได้ในช่วงวัยรุ่นคืออาการหัวดื้อ ต่อต้านพ่อแม่ แม้บางคนอาจจะไม่เป็น ก็ยังมีภาวะอารมณ์แปรปรวนขึ้นลงให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าวัยรุ่นทุกคนจะต้องมีอาการเหล่านี้เหมือนกันหมด

จุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดระหว่างช่วงวัยนี้คือความต้องการเป็นอิสระเสรี นี่คือสาเหตุที่เขาจะไม่เรียกหาพ่อแม่อีกต่อไป บ้านไหนเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิดจะจับสังเกตพฤติกรรมได้ชัดขึ้น เขาจะมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่คล้อยตามพ่อแม่อีกต่อไปหรือมีการแสดงออกว่าไม่อยากใกล้ชิดเหมือนเดิม

ความคิดอ่านของวัยรุ่นจะเริ่มเป็นนามธรรมและเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เป็นความพยายามที่จะหาแนวทางที่เป็นแบบฉบับของตนเองจนพ่อแม่อาจรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ว่าลูกๆ ที่เคยว่านอนสอนง่ายกลับกลายเป็นคนละคน ทั้งความคิดเห็นและการแสดงออกติดจะหัวแข็งและดื้อด้านขึ้น

ในช่วงรอยต่อที่สำคัญนี้ พ่อแม่อาจต้องมาตริตรองกันหน่อยว่าเราให้พื้นที่ส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า “ฉันเป็นพ่อแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการรึเปล่า” “ฉันฟังสิ่งที่ลูกต้องการบ้างไหม” “ฉันให้ลูกมีอิสระที่จะคิดและชอบแตกต่างจากฉันหรือไม่” 

เคล็ดลับสำหรับผู้ปกครองเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น 

เรามีคำแนะนำง่ายๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยว้าวุ่นนำไปใช้ดู

1. หาข้อมูลและศึกษาการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น

มีหนังสือว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของวัยทีนในท้องตลาดมากมาย หรือลองมองย้อนไปสมัยที่คุณเป็นวัยรุ่นก็ได้ จำได้ไหมเวลาเป็นสิวแค่เม็ดเดียวก็กลุ้มจะเป็นจะตาย หรือครั้งนั้นที่อายแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อประจำเดือนมาก่อนใครเพื่อน หรือเพื่อนๆมีขนหน้าแข้งกันหมดแล้วแต่เรายัง ยิ่งพ่อแม่มีความรู้ความเข้าใจและเตรียมพร้อมกับอารมณ์แปรปรวนของเขาและการถกเถียงต่อปากต่อคำที่จะเกิดขึ้นไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับมือง่ายขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างบทความที่ The Potential ได้เสนอไปแล้ว เช่น

  • รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง
  • สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้
  • รู้ทันอาการโกรธโลกของวัยรุ่น ผ่านการทำงานของสมอง

2. พูดคุยกับลูกอย่างอบอุ่นใกล้ชิดแต่เนิ่นๆ 

อาจสายไปถ้าจะเกริ่นเรื่องการมีประจำเดือนกับลูกสาวหรือฝันเปียกกับลูกชายเมื่อเขาก้าวล่วงเข้าสู่วัยว้าวุ่นเข้าไปแล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านควรพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เขาจะได้พบเจอกันไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งเรื่องความแตกต่างทางร่างกายของชายหญิง หรือแม้กระทั่งว่าเด็กทารกเกิดมาจากไหน แน่นอนว่าเว้นข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ก่อน แต่ทั้งนี้พ่อแม่ควรเปิดกว้างให้เขาถามในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย โดยบางคำถามก็อาจจำเป็นต้องอาศัยผู้รู้ที่เคยมีลูกวัยรุ่นมาก่อนหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าใกล้ชิดกับลูกเพียงพอ ลูกๆจะกล้าเล่นมุกเรื่องเพศหรือแสดงออกให้เราเห็นโดยไม่เคอะเขินว่าเขากำลังสนใจรูปโฉมของตัวเองมากขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจังหวะอันดีที่พ่อแม่จะสามารถเอ่ยถามถึงหัวข้อส่วนตั๊วส่วนตัวกับพวกเขาได้เช่น 

  • ร่างกายลูกมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม?
  • ลูกรู้สึกแปลกๆ หรือพิเศษกับคนนี้ไหม? 
  • รู้สึกเศร้าหรือเบื่อโดยไม่มีสาเหตุบ้างไหม? 

ถ้าครอบครัวพากันไปตรวจสุขภาพประจำปียิ่งเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้พูดคุยกัน คุณหมอสามารถอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงให้เขาฟังโดยตรง และแนะนำคุณพ่อคุณแม่ได้ว่าจะพบเจอกับอะไรบ้างในช่วงวัยนี้ การตรวจสุขภาพจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พ่อแม่ลูกได้จับเข่าคุยกัน การปล่อยเวลาล่วงเลยให้ลูกวัยรุ่นเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจเพียงลำพังอาจทำให้เขารู้สึกอับอาย หวาดกลัวหรือเข้าใจผิดๆต่อสภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ยิ่งพ่อแม่เปิดอกคุยกับลูกเร็วเท่าไหร่ เขายิ่งกล้าเล่า กล้าเข้ามาปรึกษา ลองหาหนังสือคู่มือวัยรุ่นให้เขาอ่านแล้วทำความเข้าใจกับตัวเองสักเล่ม พร้อมกับเล่าประสบการณ์สมัยเป็นวัยรุ่นของตัวเองให้เขาฟัง 

ไม่มีอะไรจะทำให้เขาสบายใจและให้ความไว้วางใจพ่อแม่ได้เท่ากับการได้รู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์แบบที่พ่อกับแม่เคยประสบมาเช่นเดียวกัน

3. เข้าอกเข้าใจลูก

พยายามเข้าอกเข้าใจและให้กำลังใจเขาว่าสิ่งที่กังวลหรือรู้สึกอยู่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติตามวัย ไม่เป็นไรเลยที่เขาจะรู้สึกว่าบางทีตัวเองก็อยากเป็นผู้ใหญ่บางทีก็ยังอยากเป็นเด็ก

4. เลือกถกเถียงเฉพาะเรื่องที่สำคัญ

ถ้าลูกอยากย้อมผม ทาเล็บสีดำหรือใส่เสื้อผ้าแหวกกระแส คิดให้ดีก่อนเอ่ยห้าม เด็กวัยนี้ต้องการความตื่นเต้น ถ้าพ่อแม่ออกอาการทักท้วงยิ่งถูกใจ ลองให้เขาทำสิ่งแปลกใหม่แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยตามกระแสเพื่อนไปซักพัก แล้วสงวนพลังงานไว้ใช้กับเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นดีกว่า เช่น บุหรี่ ยาเสพติด เหล้า หรือการทำอะไรถาวรกับร่างกายอย่างเจาะ สัก หรือระเบิดหู

ทางที่ดีคือการถามเขาตรงๆว่าทำไมถึงอยากแต่งตัวแบบนี้และรับฟังคำตอบของเขาด้วยความเข้าใจ อาจอธิบายเสริมให้เขารู้ว่าการแต่งตัวหรือรูปลักษณ์นั้นทำให้คนอื่นมีมุมมองต่อเขาอย่างไร 

5. ตั้งความคาดหวังแต่พอดี

แม้จะไม่อยากถูกคาดหวังสักเท่าไหร่ แต่วัยรุ่นก็ยังอยากให้พ่อแม่แสดงความสนใจและชื่นชมเขาหน่อยเวลาเขาทำคะแนนได้ดี ทำอะไรได้เรื่องได้ราวหรือปฏิบัติตามกฎระเบียบในบ้านได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าความคาดหวังอยู่ในระดับเหมาะสม ไม่บีบคั้นเขาจนเกินไป เขาก็จะไม่อึดอัดใจที่จะพยายามทำตาม แต่ถ้าใส่ความคาดหวังมากหรือน้อยจนเกินไป กลับกันเขาจะเกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกเขาเลย 

6. สอนเขาในสิ่งที่ควรรู้ และหมั่นสอดส่องอย่างใกล้ชิด

เพราะช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการลอง และบางครั้งสิ่งที่อยากรู้อยากลองก็อาจเป็นเรื่องอันตราย อย่าเลี่ยงที่จะพูดกับลูกเรื่องเพศสัมพันธ์ ยาเสพติด การดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ ขอให้พูดคุยกับเขาอย่างเปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะได้ไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้นอย่างมีความรับผิดชอบเมื่อเวลานั้นมาถึง ให้เขามองเห็นค่านิยมและศรัทธาต่างๆที่ครอบครัวยึดถือ อธิบายว่าอะไรคือถูกผิดและทำไมจึงที่เป็นเช่นนั้น

อย่าลืมทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกและพ่อแม่ของพวกเขาไว้บ้าง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มพ่อแม่ด้วยกันเองคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาว่าเด็กๆทำอะไรบ้าง โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายโดยตรงให้เขารู้สึกอึดอัด

7. สังเกตสัญญาณอันตราย

ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงต่อบุคลิกหรือพฤติกรรมอย่างรุนแรงจากหน้ามือเป็นหลังมือหรือหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งยาวนานเกินไป อาจเป็นสัญญาณถึงปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากแพทย์อย่างจริงจัง ลองสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้

  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมากผิดปกติ 
  • มีปัญหาการนอนต่างๆ เช่น ไม่นอนหรือนอนมากเกินไป
  • บุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิมมากแบบปุบปับ
  • เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนใหม่
  • โดดเรียนเป็นประจำ
  • เกรดตก
  • พูดหรือคุยเล่นถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย
  • มีเครื่องบ่งชี้ว่าดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือใช้ยาเสพติด
  • ข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย 

พฤติกรรมน่าสงสัยอื่นๆที่ลูกหมกหมุ่นยาวนานมากกว่า 2 เดือนก็อาจเป็นเหตุปัจจัยของปัญหาที่จะตามมาด้วยเช่นกัน โดยปกติแล้วจะมีพฤติกรรมเพียงแค่อย่างหรือสองอย่างที่อาจเปลี่ยนไป หรือผลการเรียนอาจตกไปบ้าง แต่ถ้าลูกซึ่งเคยทำเกรดได้ดีมาตลอดแล้วตกฮวบฮาบหรือจากที่เคยร่าเริงสดใสแต่จู่ๆกลับกลายเป็นคนเก็บตัวผิดสังเกต จงอย่ารีรอที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือจิตแพทย์เพื่อการช่วยเหลือที่ถูกต้อง 

8. เคารพความเป็นส่วนตัวของเขา 

พ่อแม่หลายคนน่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าทุกเรื่องของลูกเป็นภาระหน้าที่ต้องดูแล แต่ในความเป็นจริงการช่วยประคับประคองวัยรุ่นให้ก้าวผ่านรอยต่อสู่ความเป็นผู้ใหญ่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เขามีพื้นที่ส่วนตัว ถ้าได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลถึงสัญญาณปัญหาที่กล่าวมา อย่าเพิ่งรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาทันทีเพื่อเค้นหาความจริง ทางที่ดีลองถอยออกมาดูอยู่ห่างๆก่อน

พื้นที่ส่วนตัวที่พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายคือห้องนอนและโทรศัพท์มือถือของเขา อย่าซักไซ้ให้ลูกบอกทุกอย่างที่คิดหรือรายงานว่าทำอะไรบ้างตลอดเวลา ขอเน้นแค่ความปลอดภัยของเขาเป็นหลักว่าเขากำลังจะทำอะไรที่ไหนกับใครและกลับเมื่อไหร่ โดยไม่ต้องให้แจกแจงรายละเอียด รวมทั้งต้องอดใจอย่าทู่ซี้ขอไปไหนมาไหนด้วยเมื่อเขาไม่ต้องการเป็นอันขาด 

จุดเริ่มต้นเล็กๆที่พ่อแม่ต้องมีก่อนคือความไว้เนื้อเชื่อใจ แสดงให้เขาเห็นและบอกเป็นคำพูดว่าเราไว้วางใจเขา ซึ่งตรงนี้ต้องอธิบายไว้ด้วยว่า ถ้าความไว้วางใจนี้ถูกสั่นคลอน พ่อแม่ก็มีสิทธิลิดรอนเสรีภาพบางอย่างของเขาจนกว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ด้วยเช่นกัน  

9. สังเกตว่าลูกเสพสื่อแบบไหน

สอดส่องข้อมูลที่ผ่านหูผ่านตาเขาบ่อยๆอย่าง รายการทีวี แมกกาซีน หนังสือและเวปไซต์ที่ลูกเข้าเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังไม่ให้เขาเข้าถึงสื่อต่างๆที่เป็นพิษเป็นภัย การจำกัดช่วงและระยะเวลาที่เขาสามารถอยู่หน้าจอทีวีหรือเล่นคอมพิวเตอร์ก็เป็นอีกวิธีที่แนะนำ เช่นกำหนดให้เล่นได้ไม่เกินสี่ทุ่ม เป็นต้น รวมทั้งพ่อแม่ต้องหมั่นติดตามสังเกตด้วยว่าลูกเข้าถึงเนื้อหาอะไรในทีวี อินเตอร์เนทหรือพูดคุยกับใครออนไลน์บ้าง

แม้จะโตพอสมควร แต่ในวัยนี้พ่อแม่ก็ยังไม่ควรปล่อยให้เขาดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เนทส่วนตัวแบบไม่จำกัด ทีวีและคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในจุดที่พ่อแม่สามารถมองเห็น กับควรพยายามฝึกนิสัยให้เขาเล่นและหยุดเป็นเวลา เช่นกำหนดว่าหลังสี่ทุ่มจะเป็นเวลาเข้านอนที่เขาไม่สามารถแตะมือถือหรือเล่นคอมพิวเตอร์ได้อีกแล้ว

10. ตั้งกฎระเบียบในบ้านที่เหมาะสม 

วัยรุ่นจำเป็นต้องนอนให้ได้ 8-9 ชั่วโมง ดังนั้น การตั้งกฎให้เข้านอนเป็นเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากเป็นการฝึกให้เขารู้กฎระเบียบ สุขภาพร่างกายก็จะเจริญเติบโตได้เต็มที่เมื่อพักผ่อนเพียงพอ

นอกจากนั้นการให้รางวัลเล็กๆน้อยๆเพื่อชื่นชมที่เขาประพฤติตัวดี เช่น อนุญาตให้เข้านอนดึกกว่าเวลาที่กำหนดครึ่งชั่วโมงในวันหยุด หรือพากันทั้งครอบครัวไปเที่ยวตามสถานที่ที่เขาชื่นชอบ ใช้เวลาสำหรับครอบครัวร่วมกันแต่ก็ยังมีความยืดหยุ่นกับลูกด้วย คือไม่จำเป็นต้องให้เขาต้องทำกิจกรรมที่เราอยากทำหรือตัวติดกับพ่อแม่ตลอดเวลา ลองคิดถึงช่วงที่คุณเป็นวัยรุ่นดูว่า ตอนนั้นคุณคิดแบบเดียวกันนี้กับพ่อแม่ไหม 

ลูกจะก้าวผ่านช่วงวัยรุ่นรอดใช่ไหม? 

ช่วงเวลาที่ลูกเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงต่างๆของทั้งร่างกายและพฤติกรรมที่กล่าวมาจะเคลื่อนผ่านไปเร็วบ้างช้าบ้าง จนในที่สุดเราก็จะไม่เห็นภาพเด็กวัยกำลังโตอีกต่อไป ในที่สุดเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองได้ รู้จักความรับผิดชอบและพูดจาเป็นเรื่องเป็นราว 

ที่สุดแล้ว ขอมอบกำลังใจเป็นคำขวัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะนำพาลูกวัยรุ่นให้ก้าวเดินผ่านช่วงวัยนี้กันไปให้ได้ทุกคนว่า “เราจะเผชิญกับช่วงเวลานี้และข้ามผ่านมันไปได้ด้วยกันอย่างงดงามในที่สุด”




Source :

The Potential

https://thepotential.org/family/how-to-deal-with-teenager/