Last updated: 7 เม.ย 2563 |
วันที่ 7 เมษายน 2563 - 15:40 น.
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้อง work from home ในช่วงนี้ แรกๆ อาจรู้สึกเหมือนสวรรค์ที่รอมานาน ด้วยความที่มีอิสระในการทำงาน ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวเต็มยศ ไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทางไกลๆ แถมยังได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น แต่พอนานเข้า ทำไมกลับรู้สึกว่าสมดุลชีวิต หรือ work-life balance เริ่มยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ
ทำงานแต่ละวันก็เหนื่อยแล้ว จะให้กลับมาออกกำลังกายต่อก็คงไม่มีแรง แถมบางทียังมีงานด่วนเข้ามาดึกๆ อีก เรียกได้ว่าการรักษาสมดุลชีวิตถือเป็นเรื่องยากสุดๆ และตอนนี้การ work from home ก็ทำให้มันท้าทายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหมือนเราได้ยกโต๊ะทำงานจากออฟฟิศกลับมาตั้งไว้ใน ‘บ้าน’ จากที่เคยเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ขณะนี้ถูกทับซ้อนด้วยพื้นที่การทำงาน กองเอกสาร และจอแล็ปท็อปก็ต้องเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาเพื่อสแตนด์บายให้กับงานด่วน
งานอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น
ซึ่งหมายถึง เราจะทำงานตอนไหนก็ได้
ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่เราควรพักผ่อน
“ล่าสุดเพิ่งโดนเรียกประชุมตอน 4 ทุ่ม” พี่ที่รู้จักคนหนึ่งบ่นให้ฟัง ถ้าไม่ใช่งานกะดึก การประชุมงานตอน 4 ทุ่มก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก อาจด้วยการทำงานที่บ้านทำให้เกิดความคาดหวังใหม่ๆ จากเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงาน ที่มักจะคิดว่าเราคงไม่ได้ออกไปไหนและพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความคาดหวังนี้ย่อมส่งผลให้สมดุลชีวิตเสียแบบไม่รู้ตัว
และคงมีอีกหลายคนที่รู้สึกแบบเดียวกัน ว่าถึงแม้จะอยู่ในบ้าน แต่ก็เหมือนชีวิตยังติดอยู่กับการทำงาน อาจเป็นเพราะเราทำงานทุกที่ในบ้าน ทำกี่โมงกี่ยามก็ได้ จนงานเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมากขึ้น เมื่อเส้นแบ่งพื้นที่ระหว่าง work life และ home life เริ่มจาง และหน้าที่หลายๆ อย่างปะปนกันไปหมด ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะตีเส้นใหม่ เพื่อแยกพื้นที่ทั้งสองออกจากกัน และเพื่อให้สมดุลชีวิตกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซนอีกต่อไป
ทำตัวให้เหมือนวันไปทำงาน
ทำงานอยู่บ้านช่างสบายเหลือเกิน ไม่ต้องลุกอาบน้ำ รีบกินข้าว หรือรอต่อคิวขึ้นรถไฟฟ้า เพราะลืมตาขึ้นมาก็เปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์งานได้เลย แต่การทำงานบนเตียงในชุดนอนตัวโปรด มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังทำงานในเวลาพักผ่อนหรือเปล่านะ?
ขอแนะนำให้ลุกอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวซะ เพราะนี่คือกิจวัตรประจำวันเวลาเราไปทำงานที่ออฟฟิศ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่แท้จริงแล้วมีผลต่อความรู้สึก เพราะการแต่งหน้าแต่งตัวจะเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจว่า นี่แหละคือช่วงเวลาในการทำงานของเรา ซึ่งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องใส่สูทหรือส้นสูงเต็มยศก็ได้ เพียงแค่ไม่ใส่ชุดที่ใส่ประจำอยู่บ้านเท่านั้นเอง ถือเป็นขั้นตอนแรกที่จะช่วยสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้กับเรา
เมื่อแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จ ก็เดินทางไปออฟฟิศได้ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงออฟฟิศที่ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง แต่เป็นออฟฟิศที่อยู่ใกล้เราเพียงไม่กี่เมตร ลองเลือกสักมุมในบ้านที่สงบ ไม่มีสิ่งรบกวน แล้วสร้างมุมนั้นให้เป็นสถานที่ทำงาน อาจจัดโต๊ะให้เหมือนโต๊ะที่ออฟฟิศ เลือกเก้าอี้ดีๆ สักตัว พร้อมจัดแสงสว่างให้เพียงพอ เพื่อให้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น เลือกเพียงแค่มุมเดียวเท่านั้น เพราะการทำงานทุกที่ในบ้านจะทำให้ชีวิตส่วนตัวถูกปะปนไปด้วยงาน และแน่นอนว่าไม่ใช่บนเตียง เพราะนั่นคือที่ที่เราใช้หลบหนีเพื่อพักผ่อน
จากนั้นกำหนดเวลาทำงานให้แน่ชัด เพราะหลายคนมักจะไปจบที่การทำงานเกินเวลา อาจจะเพราะไม่มีการตอกบัตรเข้าออกออฟฟิศ จึงทำให้เราลืมโฟกัสเวลาเดิมที่เคยทำงาน จุดนี้แหละคือปัญหาหลักที่ทำให้สมดุลชีวิตของเราเสีย ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการทำงานเวลาไหนก็ได้ที่อยากทำ และพยายามทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้น 4-5 ทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะอ่านหนังสือ หรือดูเน็ตฟลิกซ์จะกลายเป็นเวลาตรวจเอกสารแทน
การกำหนดเวลาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรารักษาสมดุลชีวิตได้
อาจอ้างอิงจากเวลาการเข้าออกงานปกติจะดีที่สุด และที่สำคัญการทำงานเฉพาะในเวลาที่กำหนด จะช่วยลดความคาดหวังว่าเราจะพร้อมรับงานตลอดเวลาจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานได้
การทำงานหลายชั่วโมงติดกันอาจทำให้รู้สึกล้า งั้นลองหาพื้นที่สีขาว (white space) หรือการพักผ่อนเพื่อช่วยเรียกพลังและประสิทธิภาพในการทำงานกลับมาดูสิ อาจจะเป็นการลุกไปทำกิจกรรมที่ชอบ งีบหลับซัก 10-20 นาที หาอะไรดื่มให้สดชื่น ดูคลิปหมาแมวตลกๆ เพื่อลดความตึงเครียดจากการทำงานติดกันหลายๆ ชั่วโมง ซึ่งข้อดีของการทำงานที่บ้านก็คือ เราสามารถมีพื้นที่สีขาวเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่เจ้านายไม่เห็น
บางคนอาจเผชิญกับงานที่ล้นมือ ไม่ว่าจะเป็นงานตรงหน้าหรืองานบ้านที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น ล้างจาน เก็บผ้าที่ตากไว้ หรือให้อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งการทำงานที่บ้านเราจำเป็นจะต้องบาลานซ์ความสำคัญให้ดี เพราะถึงเงินจะจำเป็น แต่ครอบครัวก็สำคัญเช่นกัน ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการจด to do list โดยการเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ อันไหนควรทำก่อน อันไหนควรทำทีหลัง และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ภาระหน้าที่แต่ละอันพันกันจนยุ่งเหยิง นอกจากนี้ อาจจะขอความร่วมมือจากคนในครอบครัวไม่ให้รบกวนเราขณะทำงานด้วยก็ได้
สุดท้าย เหลือบมองดูนาฬิกาสักเล็กน้อย ได้เวลาเลิกงานหรือยังนะ? ถ้าได้เวลาแล้วก็ชัตดาวน์คอมพิวเตอร์ซะ จัดโต๊ะทำงานนิดๆ หน่อยๆ เหมือนตอนจะออกจากออฟฟิศ แล้วเดินกลับไปนอนกลิ้งบนเตียง หรือเปิดทีวีดูซีรีส์ที่ค้างไว้ได้ นี่เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือน ‘หลุด’ ออกจากโหมดทำงาน และเข้าสู่โหมดพักผ่อน แม้ความจริงโต๊ะกับเตียงจะห่างกันไม่กี่ก้าวก็ตาม หรือเรียกว่าเป็นการ ‘ตอกบัตรทางจิต’ เพื่อออกจากออฟฟิศนั่นเอง
การแยกชีวิตการทำงานออกจากชีวิตส่วนตัวบางครั้งก็ทำได้ด้วยวิธีเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแต่งตัวหรือการจัดพื้นที่ อาจจะดูยุ่งยาก ไม่ชิลเหมือนการ work from home ที่เคยวาดฝันไว้ หรือรู้สึกเหมือนไม่ต่างอะไรไปกับการไปทำงานปกติ แต่อย่างน้อยโบนัสที่เราได้รับในแต่ละวันก็คือ เราไม่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทางเหมือนแต่ก่อนยังไงล่ะ
การทำงานที่บ้านอาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน ซึ่งอาจจะต้องการการทดลองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อดูว่าวิธีไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับเรา ค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ เต็มที่กับงานได้ แต่อย่าลืมว่าสมดุลชีวิตก็เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม
Source:
Thematter
ประชุมตอนสี่ทุ่ม ตอบอีเมลบนเตียง : เมื่อ work from home อาจทำ work-life balance พัง
https://thematter.co/social/how-to-maintain-work-life-balance-when-you-work-from-home/106940
10 ก.ย. 2564
7 ก.ย. 2564
16 ก.ย. 2564